วัดพระธาตุเสด็จ ตำบลเสด็จ ห่างจากตัวเมืองไปตามเส้นทางลำปาง-งาว ประมาณ 19 กิโลเมตร แยกซ้ายตรงกิโลเมตรที่ 617-618 เข้าไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร วัดพระธาตุเสด็จเป็นโบราณสถานอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดลำปาง ชื่อว่าวัดพระธาตุนั้นมีที่มาว่าเป็นวัดที่มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ ในจังหวัดลำปางมีเพียง 2 วัด คือวัดพระธาตุลำปางหลวง และวัดพระธาตุเสด็จ มีตำนานกล่าวว่าวัดนี้สร้างขึ้นในสมัยพระนางจามเทวี อุโบสถและวิหารต่างๆ เช่น วิหารสุวรรณโคมคำ (วิหารพระพุทธ) วิหารจามเทวี ซึ่งเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ ได้รับการบูรณะใหม่ทั้งหมดแต่ยังคงสภาพศิลปะโบราณให้เห็นได้อยู่จนปัจจุบัน กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นโบราณสถานของชาติแล้ว
สถานที่อันเป็นที่ตั้งวัดพระธาตุเสด็จในปัจจุบัน เดิมเรียกว่าดอนโพยง หรือดอนโพง เพราะพื้นที่มีลักษณะเป็นที่ดอนและเป็นป่าช้าสำหรับฝังซากศพของชาวบ้าน ตอนกลางคืนจะมีหมา มีแร้งมาแทะกินซากศพ และที่บริเวณนี้จะมีต้นขะจาวใหญ่อยู่ต้นหนึ่งในคืนวันพระ ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำจะมีดวงไฟพุ่งเป็นแสงสว่างออกไปให้ชาวบ้านได้เห็นและชาวบ้านแถวนี้เข้าใจ ว่าเป็นแสงของผีโพง ที่มากินซากศพตอนกลางคืน จึงเรียกชื่อสถานที่นี้ว่า ดอนโพยงหรือ ดอนโพง
ตำนานวัดพระธาตุเสด็จ จุลศักราชได้ ๔๙๖ ปี (พ.ศ.๒๐๗๗) มีพระมหาเถรเจ้า ๒ องค์มาจากเมืองพม่า ได้นำสถรา(บัดถาจารึก) มาเพื่อจะนมัสการพระมหาธาตุเจ้า มาถามหาดอนโพยง ชาวบ้านเมืองก็บอกมหาเถรเจ้าว่าไม่รู้จักไม่เคยได้ยิน จนไปถามผู้แก่ที่สุดก็ได้คำตอบว่าไม่รู้จักไม่เคยได้ยินมาก่อน ชายแก่คนนั้นได้นำพระมหาเถรไปพบกับอาจารย์โหราเมื่อเป็นพระเคยไปอยู่เมืองพม่า แต่กลับมาได้ลาสิกขาเสียแล้วก็เป็นอาจารย์ (ผู้นำอุบาสกหรือไวยาวัจจกร) อาจารย์โหราก็บอกว่าที่บ้านกาศไหม้นั้นแหละ ที่ริมแม่น้ำวังค์นที มีดอนอันหนึ่งชื่อว่าดอนโพง มีต้นคะจาวอยู่ต้นหนึ่ง แต่เขาไม่เคยเรียกกันว่าดอนโผยง อย่างพระคุณเจ้าว่าเลย เขาเรียกกันว่า ดอนโพง แล้วมหาเถรเจ้าก็อ่านบัด จารึกดูก็เห็นถูกต้องแม่นยำทุกประการและต้นคะจาวก็มีกิ่งใหญ่ ๒ กิ่งมีเทพบุตรรักษาองค์ละกิ่ง และมีกิ่งคะจาวเป็นปุ๋ย ๔๐ พะวง ย้อยลงมาพื้นดินทั้ง ๔ ทิศๆ ละ๑๐ พะวง ถ้าลมมาก็กวัดแกว่งกวาดพื้นให้เกลี้ยงราบเรียบดงงามยิ่งนัก ดุจมียามคอยกวาดรักษาอยู่เสมอ แม้แต่หญ้าเส้นหนึ่งก็ไม่มี เป็นสถานที่บริสุทธิ์สะอาดงดงามดี มหาเถรเจ้าจึงบอกให้อาจารย์โหราว่านี่แหละคือสถานที่บรรจุพระบรมธาตุที่แท้ จริงแล้วตั้งแต่นี้เป็นต่อไป ขอท่านทั้งหลายอย่าได้สงสัยอะไรอีกเลย จงเชื่อในตำนานที่เราเอามาจากลังกานี้เถิด ขอให้ท่านทั้งหลายอย่าได้นำเอาผีมาเสีย ณ ที่นี้ต่อไปเลยแล้วก็ให้อาจารย์โหราไปแจ้งข่าวให้ประชาชนทั้งหลายมาคนทั้ง หลายก็พากันหลั่งไหลมาอย่างคับคั่ง แล้วพระมหาเถรเจ้าก็แจ้งให้ประชาชนทั้งหลายทราบอีกดุจข้างต้น คนทั้งหลายก็ไม่เชื่อและตำหนิพระมหาเถรเจ้าในทำนองที่ว่าเอาป่าช้าเป็นวัด
ครั้นแล้วมหาเถรเจ้าทั้ง๒ องค์ ก็ทำการสักการบูชาพระธาตุพระพุทธเจ้าด้วยข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเทียน แล้วอธิฐานว่า "ถ้าธาตุพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่ใต้ร่มไม้คะจาวต้นนี้ ตั้งแต่เมื่อพระอรหันต์๗ พระองค์ และเทพบุตรทั้งหลาย พระยา ๕ พระองค์มาบรรจุพระบรมธาตุพระพุทธเจ้าไว้ที่นี้ และให้พรหมเทพบุตรและสุภัททะเทพบุตรรักษาพระสรีระธาตุพระพุทธเจ้า มี ณ ที่นี้ จริงแล้ว ของให้เทพบุตรทั้งสอง จงสำแดงพระสรีระธาตุพระพุทธเจ้าให้เกิดปฏิหาริย์ดุจเมื่อพระพุทธองค์ยังมี พระชนม์อยู่เถิด" จากนั้น รัศมีพระสรีระธาตุพระพุทธเจ้าก็ไหลหลั่ง แต่ต้นไม้คะจาวต้นใหญ่ มีประมาณเท่าลำตาลรุ่งเรืองงามประดุจทองคำและประดุจรูปพระยานาคเกี้ยวกันสุด ยอดต้นคะจาวแล้วก็เปล่งรัศมี ๖ ประการรุ่งเรืองงามยิ่งนัก แล้วก็เสด็จขึ้นไปบนอากาศ ใหญ่ประมาณเท่าลูกบาตรบ้าง เท่าลูกมะพร้าวบ้าง เท่าเดือนบ้าง เท่าดาวบ้าง มาที่สุดจะคณานับได้ ตลอดคืน คนทั้งหลายจึงได้เชื่อคำของมหาเถรเจ้า ก็บอกข่าวให้แก่คนทั้งหลายว่า ต่อไปเมื่อใดที่ต้นคะจาวนี้จะชราเสื่อมคลายตายลงแล้ว ในตอนนั้นจักมีพระมหาเถรเจ้าองค์หนึ่ง กับพระยาที่เสวยเมืองศรีนครชัยกับทั้งชาวเจ้าอริยะสงฆ์และประชาชนจักมาตัด ไม้คะจาวนี้ แล้วจะก่อเป็นพระมหาเจดีย์ครอบพระสรีระธาตุพระพุทธเจ้า สถานที่นี้ให้รุ่งเรืองถาวรสืบอายุพระพุทธศาสนาต่อไป ตั้งแต่นั้นมาก็มีชื่อปรากฏเรียกกันว่า พระธาตุเสด็จ