วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2563
วัดม่อนปูยักษ์
วัดม่อนปูยักษ์
" วัดม่อนปูยักษ์ " หรือ วัดม่อนสัณฐาน เป็นวัดที่มีรูปแบบทางด้านส ถาปัตยกรรมสวยงามแบบศิลปะพม ่า จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเท ี่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่าชาต ิ เข้าชมความงดงามของวัดแห่งน ี้เป็นจำนวนมาก
ความเป็นมาของวัด สร้างจากพระธุดงค์ชาวพม่า ลักษณะที่ตั้งวัดอยู่บนเนิน เขา สูงชันจึงเรียกว่า”ม่อน” ตามภาษาพม่า และเจ้าอาวาสเป็นชาวพม่าที่ มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนธรรม ดา ชาวบ้านจึงเรียกว่า “ม่อนปู่ยักษ์”
วัดม่อนปู่ยักษ์ได้มีการบูร ณะปฏิสังขรณ์เรื่อยมา มีอาคารหลัก 3 หลัง คือ พระวิหารและพระธาตุเจดีย์ , อุโบสถก่ออิฐถือปูน , กุฏิไม้ เป็นศิลปะพม่าที่ได้รับอิทธ ิพลจากศิลปะประยุกต์แบบตะวั นตก ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพร ะจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5
ประวัติเรื่องเล่าแต่เดิม เมื่อสมัยพุทธกาลครั้งพระสั มมาสัมพุทธเจ้า พร้อมพระอรหันต์ เผยแพร่พุทธศาสนามาทางทิศบู รพา ผ่านมาปรากฎว่ามียักษ์ตนหนึ ่งเข้ามาขัดขวางและขับไล่พร ะองค์ จากในป่าบ้านพระบาท จนถึงป่าม่อนจำศีล และได้มาทันกัน ณ วัดม่อนจำศีล พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ยักษ์ตนนี้ควรจะหยุดการกระท ำดังกล่าวได้แล้ว จึงให้ยักษ์เข้าเฝ้าและฟังธ รรมจากพระองค์ เมื่อยักษ์ฟังธรรมแล้วก็ได้ ก้มกราบพระบาทด้วยความเลื่อ มใส และขอบำเพ็ญศีลภาวนาอยู่ ณ วัดม่อนจำศีลเรื่อยมา ต่อมายักษ์ตนนี้ได้มาตายลงท ี่ม่อนปู่ยักษ์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดม่อนจำ ศีลมากนัก ในเวลาต่อมาได้มีผู้พบเห็นร อยพระพุทธบาท และรอยเท้ายักษ์บริเวณม่อนเ ขา ดังนั้นชาวบ้านจึงช่วยกันสร ้างเจดีย์และวิหารคอบรอยพระ พุทธบาท โดยสร้างอาคารยกพื้นสูงขึ้น จากดินเดิม เพื่อเป็นที่เคารพสักการะขอ งพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปตลอด มา
ตามประวัติบันทึกไว้ว่า วัดได้เริ่มก่อสร้างขึ้นเมื ่อวันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ.2442 โดยจองนันตาน้อย จองนันตาไก่ พร้อมพี่น้องอีก 4 คน คือ จองนันติ จองวิชชะ จองปัญจุม และจองนันต๊ะ ซึ่งเป็นคหบดีพ่อค้าไม้ชาวพ ม่า มีฐานะร่ำรวย ได้มาช่วยกันสร้าง และได้รับพระราชทานวิสุงคาม สีมา กว้าง 14.82 เมตร ยาว 14.82 เมตร ( วิสุงคามสีมา คือ ที่ดินที่แยกต่างหากจากที่ด ินของบ้านเมือง เป็นเขตที่พระเจ้าแผ่นดินพร ะราชทานแก่พระสงฆ์เป็นการเฉ พาะเพื่อใช้สร้างอุโบสถโดยป ระกาศเป็นพระบรมราชโองการ ) อาคารเสนาสนะประกอบด้วย พระวิหารและพระธาตุเจดีย์ อุโบสถ ได้รับอิทธิพลศิลปะตะวันตก ศาลาการเปรียญและกุฏิไม้โบร าณศิลปะแบบพม่า
เราไปดูส่วนของพระวิหารและพ ระธาตุเจดีย์กัน
พระวิหาร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนยกพื้ นสูง ได้รับอิทธิพลจากศิลปะตะวัน ตก การประดับตกแต่งลวดลายประดั บอาคาร การใช้ซุ้มโค้ง (Arch) แบบศิลปะตะวันตก
พระวิหารและพระเจดีย์ วางในแนวแกนหลักตะวันออก-ตะ วันตก รูปแบบโคโลเนียล หลังคาทรงจั่วตัดทั้ง 2 ด้าน และโดยรอบมีซุ้มอาคารขนาดเล ็กหลังคาซุ้มโค้งเรียงราย ใช้สำหรับทำวิปัสสนากรรมฐาน พระวิหารมีการประดับตกแต่งอ ย่างเรียบง่าย ผนังก่ออิฐถือปูนหนาหลายชั้ น หน้าต่างเป็นบานเปิดไม้เหนื อช่องหน้าต่างปั้นปูนเป็นทร งโค้งแต่งลายแสงตะวัน ประตูเข้าหน้าวิหารเป็นประต ูบานเปิดไม้คู่ ลงรักติดทอง มีซุ้มโค้งปูนปั้นอยู่เหนือ ประตูยอดซุ้มโค้งมีปูนปั้นท รงปราสาทซ้อนชั้น หน้าบันจั่วทางตะวันออกปั้น ประดับรูปนกยูง เป็นตัวแทนพระอาทิตย์ ทางตะวันตกปั้นประดับรูปกระ ต่าย เป็นตัวแทนพระจันทร์ ภายในพระวิหาร มีองค์พระประธานและพระสาวกป ระดิษฐานอยู่บนฐานลายปัน เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ลงรักปิดทอง ประดับกระจก ปางมารวิชัย ศิลปะพม่า สกุลช่างมัณฑเลย์
ถัดจากพระวิหารเป็นพระธาตุเ จดีย์ รูปแบบศิลปะพม่าบนฐานย่อมุม ประทักษิณขนาดใหญ่ พระเจดีย์มีชื่อว่า จุฬามณีสันฐาน ที่ฐานทั้งสี่ด้านมีซุ้มประ ดิษฐานพระพุทธรูป ทุกด้านมีบันไดรูปปั้นสิงห์ เหนือซุ้มประดับปูนปั้นรูปท รงปราสาท ที่มุมฐานทั้งสี่ของเจดีย์ป ระดับสิงห์ปูนปั้น ตรงมุมของฐานเจดีย์ย่อมุมแต ่ละชั้นมีการประดับตกแต่ง มุมชั้นล่างสุดเป็นเจดีย์อง ค์เล็ก ถัดไปเป็นหม้อดอกไม้ไหว นรสิงห์ และดอกบัวตูม เหนือขึ้นไปเป็นองค์ระฆังคา ดด้วยลวดลายพรรณพฤกษา และรูปยักษ์ล้อมองค์ เหนือองค์ระฆังเป็นปล้องไฉน ปัทมบาท และปลี ยอดปลายบนสุดประดับฉัตร มีกำแพงแก้ว โค้งมนก่ออิฐถือปูน อยู่โดยรอบ มีบันไดลง 3 ด้าน ด้านทิศใต้ มีรูปประติมากรรมยักษ์เฝ้าด ้านหน้าบันได อยู่ 2 ตน
อุโบสถ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระวิห าร เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนทรงสู ง หลังคาจั่ว 4 ด้านมีหลังคาทรงปั้นหยาตรงก ลาง ได้รับอิทธิพลจากศิลปะตะวัน ตก ( ทางวัดเรียกว่าวิหารทรงโปรต ุเกส ) ซึ่งเป็นอาคารประดับตกแต่งด ้วยลายไม้แกะสลัก และลายปูนปั้นประดับกระจก ปิดทอง
กุฏิไม้ อยู่ทางทิศตะวันตกของพระวิห าร หันหน้าไปทางทิศใต้เป็นกุฏิ ไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงแบบศิ ลปะพม่า มีลักษณะเป็นเรือนเครื่องไม ้ เสาและหลังคาทำด้วยไม้ หลังคาตัวเรือนใหญ่ เป็นหลังคาจั่วซ้อนกันเป็นช ั้นๆ มีหลังคาจั่วคลุมบันไดทางขึ ้น บริเวณชานพัก มีซุ้มหลังคาคลุมเป็นมณฑป บันไดทางขึ้นเป็นปูน ตกแต่งไม้แกะสลัก มีระเบียงทางเดินด้านหน้าฝั ่งทิศใต้และทิศตะวันตก มีประตูไม้บานเฟี้ยมเปิดเข้ าไป ภายในประกอบด้วยพื้นที่โถงโ ล่งกลาง มีงานจิตรกรรม ประดับอยู่ระหว่างช่วงเสาตอ นบน เดิมมีภาพวาดอยู่โดยรอบ ปัจจุบันเหลือเพียง 2 ภาพในสภาพชำรุดลบเลือนตามกา ลเวลา สันนิษฐานว่าเป็นภาพที่นำเข ้ามาจากประเทศพม่า ถัดไปด้านในมีพื้นยกสูงสำหร ับที่นั่งของพระสงฆ์ ถัดไปอีกชั้น เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป พระประธาน 3 องค์ ส่วนห้องด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง ใช้เป็นที่อยู่ของพระสงฆ์ ผนังและฝ้าเพดานทำด้วยไม้ ตกแต่งด้วยลวดลายวิจิตรลงรั กติดทอง
วัดม่อนปู่ยักษ์ ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านป่าขาม 2 ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง
ความเป็นมาของวัด สร้างจากพระธุดงค์ชาวพม่า ลักษณะที่ตั้งวัดอยู่บนเนิน
วัดม่อนปู่ยักษ์ได้มีการบูร
ประวัติเรื่องเล่าแต่เดิม เมื่อสมัยพุทธกาลครั้งพระสั
ตามประวัติบันทึกไว้ว่า วัดได้เริ่มก่อสร้างขึ้นเมื
เราไปดูส่วนของพระวิหารและพ
พระวิหาร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนยกพื้
พระวิหารและพระเจดีย์ วางในแนวแกนหลักตะวันออก-ตะ
ถัดจากพระวิหารเป็นพระธาตุเ
อุโบสถ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระวิห
กุฏิไม้ อยู่ทางทิศตะวันตกของพระวิห
วัดม่อนปู่ยักษ์ ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านป่าขาม 2 ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง
คุ้มเจ้าบุ ณ ลำปาง
#คุ้มเจ้าบุ ณ ลำปาง
สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2476 ก่อนที่จะเล่าลักษณะของคุ้ม
1.เจ้าอ้าย
2.เจ้าฟ้าสิงหราชธานี เจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว
3.เจ้าหญิงคำทิพ
4.เจ้าหญิงคำปา
5.เจ้าชายพ่อเรือน เจ้าราชบิดาในพระยาพุทธวงศ์
6. เจ้าหญิงกม ( กมลา )
เจ้าอ้าย มีโอรสพระนามชื่อ เจ้าชายแก้วหรือเจ้าฟ้าไชยแ
มีโอรสและธิดา 10 พระองค์ เชื้อเจ็ดตน และ ณ ลำปาง ณ ลำพูน ณ เชียงใหม่ ( องค์ที่ 3-10 จะไม่กล่าวถึง )
องค์ที่ 1 เจ้ากาวีละ ( พระยากาวีละ ) พระเจ้านครเชียงใหม่ พระองค์ที่ 1
องค์ที่ 2 เจ้าคำโสม ( พระยาคำโสม ) พระยานครลำปาง องค์ที่ 4
มีโอรสและธิดา 12 พระองค์ ( จะกล่าวเพียงองค์ที่ 6 เท่านั้น )
มีโอรสพระนามชื่อ เจ้าวรญาณรังสี เป็นองค์ที่ 6 ( เจ้าหลวงลำปางองค์ที่ 9 ปี พ.ศ. 2399-2414 ) มีโอรสและธิดาอยู่ 2 พระองค์ ได้แก่
1.เจ้าหญิงสุยคำ ณ ลำปาง
2.เจ้านรนันทไชยชวลิต ณ ลำปาง ( เจ้าหลวงลำปางองค์ที่ 12 ปี พ.ศ. 2435-2438 ) มีโอรสพระนามชื่อเจ้าพ่อบุญ
เจ้าหญิงสุยคำ ณ ลำปาง มีโอรสพระนามชื่อ เจ้าองค์ทิพย์ ณ ลำปาง สมรสกับเจ้าพ่อไชยลังกา ( เจ้าพ่อหนานปวน )
มีธิดานามชื่อเจ้าแม่บุ ณ ลำปาง (ทาปลูก) สมรสกับ เจ้าหนานสม ทาปลูก
เจ้าแม่บุ ณ ลำปาง ( ทาปลูก ) เกิดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2442 ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2513
มีบุตรธิดาจำนวน 6 คน ได้แก่
1.คุณสร้อยแก้ว โพติ๊ดพันธุ์ (ทาปลูก) ( ถึงแก่กรรม )
2.คุณสร้อยคำ ศรีบุญเรือง (ทาปลูก) ( ถึงแก่กรรม )
3.คุณเสน่ห์ ทาปลูก ( ถึงแก่กรรม )
4.คุณบุญนาค ทาปลูก
5.คุณกาญจนา ณ ลำปาง (ทาปลูก)
6.คุณธิรา นิวัติศิลป์ (ทาปลูก)
คุณสร้อยคำ ศรีบุญเรือง (ทาปลูก) สมรสกับเจ้าปรีชา วรรชัยชาญคดี ( บุตรของเจ้าพ่อขุนวรรณ กับเจ้าแม่ปี่ วรรชัยชาญคดี )
สมรสอีกครั้งกับคุณพ่อจู ศรีบุญเรือง ( ปัจจุบันมีอายุได้ 97 ปี )
มีบุตรและธิดา ได้แก่
1.คุณชัชวาล วรรชัยชาญคดี
2.คุณสุนทร ศรีบุญเรือง ( ถึงแก่กรรม )
3.คุณพรทิพย์ ศรีบุญเรือง
4.คุณนิตยา ศรีบุญเรือง ( แสงเล็ก )
5.คุณประภัสร์ ศรีบุญเรือง ( ถึงแก่กรรม )
คุณนิตยา(ต้อม) ศรีบุญเรือง ( แสงเล็ก ) จบ ม.ต้นจาก รร.อรุโณทัย ปี 2514 ไปต่อที่ รร.เรยีนาเชรีวิทยาลัยเชียง
ต่ำแหน่งราชการสุดท้าย ผอ.ศูนย์พัฒนาอนามัยพื้นที่
สมรสกับคุณธราภพ (เล็ก) แสงเล็ก (เป็นบุตรของนายแมว แสงเล็ก กับนางสุพร ตันชัยสวัสดิ์ (แซ่ตั้ง) เป็นคนสบตุ๋ย ตลาดโชคชัยลำปาง ( ACLA รุ่น 14 ) จบ ด้านตกแต่งภายใน ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ดูแลค
มีบุตรชาย 2 คนชื่อ นายธนิต แสงเล็ก และนายธนญ แสงเล็ก
#มาดูกันว่ามีอะไรบ้างในคุ้
คุ้มเจ้าบุ ลักษณะอาคาร เป็นอาคารพักอาศํยไม้ชั้นเด
#ชั้นล่าง บริเวณใต้ถุนประกอบด้วย เสาไม้สักจำนวนกว่า 50 ต้น แต่เดิมฝังเสาลงพื้นดิน ปัจจุบันเสริมโครงสร้างใหม่
#ชั้นบน ด้านหน้าเรือนแต่เดิมจะมีบั
#หลังคาเรือน เป็นโครงสร้างไม้ทั้งหลัง มุงด้วยกระเบื้องหางว่าว ทรงจั่วปั้นหยาและปั้นหยาจั
#พื้นที่ภายนอกโดยรอบบริเวณ
#นับว่าคุ้มเจ้าบุ หลังนี้ควรค่าของการอนุรักษ
จุดเด่น: เป็นคุ้มเจ้าแห่งเดียวในจัง
คุ้มเจ้าบุ มีการปรับปรุงซ่อมแซม เมื่อปีพ.ศ.2543 และเริ่มมาปลูกเรือนหลังใหม
ที่ตั้ง เลขที่ 11 หมู่ 4 บ้านป่ากล้วย ต.ปงแสนทอง อ.เมือง จ. ลำปาง
จีพีเอสหาง่าย GPS N18”15.569’
#ขอขอบพระคุณ คุณนิตยา(ต้อม) คุณธราภพ(เล็ก) แสงเล็ก ที่เปิดคุ้มให้เข้าไปถ่ายภา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)